ตัวแปรคือ ชื่อที่ผู้เขียนโปรแกรมตั้งขึ้นเพื่อจำค่าบางอย่าง
method,function
class player
strcture Data type
abstract data type
int,float,double,char,string
class player
{
name;
number;
postion;
}
class Form
{
text;
size;
name;
}
class คือโครงสร้างของวัตถุ
c# data type
//global variable
ส่งสองคน
1.นางสาวมลิวรรณ บุญชัยโย เลขที่15
2.นางสาวทิพวรรณ เลพล เลขที่30
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553
งานที่ 1
1.อธิบายเหตุผลที่ต้องมีการเขียนโปรแกรม
แต่ก่อนการเขียน web application ด้วยภาษา PHP มีลักษณะการทำงานแบบเป็นลำดับขั้นจากบนลงล่าง หรือที่เราเรียกว่า Structured Programming ซึ่งมีความยุ่งยากในการพัฒนา เนื่องจากหากในระบบเรามีการเขียนโปรแกรมลักษณะเดิมซ้ำๆกัน เราจะไม่สามารถนำโค๊ดเก่ามาใช้ได้ เราต้องเขียนใหม่(เขียนโค๊ดเก่าซ้ำอีกทีนึง)ตลอดเรียงเป็นลำดับต่อลงมาเรื่อยๆๆ ทำให้เป็นการเขียนโปรแกรมซ้ำซ้อน หากเป็นระบบใหญ่ๆพัฒนาเป็นทีมจะทำให้พัฒนายากมาก เพราะว่าต่างคนก็ต่างเขียนโปรแกรมของตนไปและนำมารวมกันได้ยาก
ดังนั้นจึงได้เกิดแนวคิดการเขียนโปรแกรมแบบ OOP ขึ้น ซึ่งสามารถนำโค๊ดเดิมที่เขียนใว้แล้วมาสืบทอดคุณสมบัติพัฒนาต่อได้ โดยไม่ต้องเขียนโค๊ดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ลดความซ้ำซ้อนในการเขียนโปรแกรม สามารถพัฒนาระบบร่วมกันเป็นทีมได้ง่าย
ข้อแตกต่างระหว่างการเขียนโปรแกรมแบบ Procedural และ OOP
Procedural
- จะให้ความสำคัญกับขั้นตอนกระบวนการที่ทำ หรือให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นลำดับขั้นจากบนลงล่าง
- จะมองว่าโปรแกรมทั้งหมดเป็นโครงสร้างเดียวOOP
- ให้ความสำคัญกับวัตถุ มององค์ประกอบต่างๆของโปรแกรมเป็นวัตถุ
- ไม่สนใจว่าวัตถุมีการทำงานอย่างไร สนใจแต่ผลลัพธ์ภายนอกที่ได้ เช่น ไม่สนใจว่าโทรทัศน์มีระบบการทำงานอย่างไรรู้แค่วิธีใช้คือเสียบปลั๊กกดสวิตก็พอ เปรียบเทียบกับการเขียนโปรแกรมก็คือ ไม่สนใจว่าภายใน Class ทำงานอย่างไรสนใจแค่ว่า ต้อง Input ข้อมูลอะไรเข้าไปและไ้ด้ข้อมูลอะไรออกมา เป็นต้น
- วัตถุให้ข้อมูลอะไรบ้าง มีข้อมูลอะไรที่จะ Input บ้าง (Data)
- จะกระทำอะไรกับวัตถุนี้บ้าง (Behavior)
- วัตถุสามารถติดต่อหรือปฎิสัมพันธ์กันได้
- กระจายการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดความซ้ำซ้อนในการเขียนโปรแกรม นำโค๊ดเก่ากลับมาใช้ใหม่ได้
การมองสิ่งต่างๆในเชิงวัตถุ
เช่น ในระบบการลงทะเบียนมีวัตถุอะไรบ้าง วัตถุแต่ละอย่างมีข้อมูล(data)อะไร และจะ มีพฤติกรรมอะไร(Behavior)ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุอะไรบ้าง
นักเรียน มีข้อมูล(data) = รหัสนักศึกษา,ชื่อสกุล,วันเดือนปีเกิด ฯลฯ
รายวิชา มีข้อมูล(data) = รหัสรายวิชา,ชื่อรายวิชา ฯลฯ
นักเรียน มีพฤติกรรม(Behavior) = แ้ก้ไขข้อมูล ฯลฯ
นักเรียน ลงทะเบียน(มีปฏิสัมพันธ์) กับ รายวิชา
เป็นต้น
ในตัวอย่างข้างต้นเราสามารถสร้าง Class นักเรียน ซึ่งมี Method (Behavior) แก้ไขข้อมูล,ลงทะเบียน ฯลฯ อยู่ใน Class นักเรียน
สร้าง Class รายวิชา ซึ่งมี Method (Behavior) แก้ไขรายวิชา ฯลฯ อยู่ใน Class รายวิชา
โดยที่ Class ทั้งสองคลาสสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันได้
เดี๋ยววันหลังจะมาเขียนวิธีสร้าง Class และ Method
2.อธิบายความหมายของคำว่าโปรแกรม
โปรแกรม คือ ชุดคำสั่งที่สั่งงานคอมพิวเตอร์ ซึ่งโปรแกรมที่จะใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ได้นั้นจะต้องเขียนด้วยภาษาที่คอมพิวเตอร์เข้าใจและสามารถปฎิบัติตามได้ เรียกภาษาทึ่ใช้สั่งคอมพิวเตอร์นี้ว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ ผู้เขียนโปรแกรม จะรับข้อกำหนดของโปแกรมจากนักวิเคราะห์ และดำเนินการเขียนโปรแกรมให้ตรงตามข้อกำหนดนั้นๆ
3.อธิบายความหมายของคำว่าโปรแกรมคออมพิวเตอร์
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: computer program) คือ กลุ่มชุดคำสั่งที่ใช้อธิบายชิ้นงาน หรือกลุ่มงานที่จะประมวลผลโดยคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์อาจหมายถึง ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน หรือ โปรแกรม โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่นั้นเป็นชุดคำสั่งที่ออกแบบตามอัลกอริทึม โดยปกติแล้วเขียนโดยโปรแกรมเมอร์ หรือไม่ก็สร้างโดยโปรแกรมอื่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์ชุดหนึ่ง ๆ อาจเขียนขึ้นด้วยระบบรหัส หรือที่เรียกว่า ภาษาเครื่อง ซึ่งมักเขียนได้ยากและเหมาะกับช่างเทคนิคเฉพาะทาง ภายหลังจึงได้มีการสร้างภาษาโปรแกรมที่ใกล้เคียงภาษามนุษย์มากขึ้น เช่น ภาษาแอสเซมบลี (Assembly) ภาษาซี (C) ภาษาโคบอล (COBOL) ภาษาเบสิก (BASIC) ภาษา C# ภาษาจาวา เป็นต้น ผู้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์อาจเขียนโปรแกรมไว้ใช้ส่วนตัว หรือเพื่อให้ผู้อื่นใช้ต่อ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมประยุกต์หรือไลบรารี เช่น โปรแกรมสำหรับวาดภาพ (graphics) โปรแกรมประมวลผลคำ (word processing) โปรแกรมตารางจัดการ (spread sheet) โปรแกรมระบบ (systems software) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยมักติดตั้งมาจากโรงงานที่ผลิต และโปรแกรมระบบปฏิบัติการ (operating system) ที่จะทำหน้าที่เหมือนผู้จัดการคอยดูแลให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานให้ประสานกัน ในการเขียนโปรแกรม ผู้เขียนจะต้องเข้าใจขั้นตอนวิธี (อัลกอริทึม) และภาษาที่จะใช้เป็นอย่างดี จึงจะสามารถเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมเครื่องให้ทำงานได้ตามความต้องการ
4.อธิบายลักษณะสำคัญของคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์จัดเป็นองค์ประกอบสำคัญหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศ
คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"
คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้
5.อธิบายการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์
1 ทำความเข้าใจปัญหา หรือโจทย์ (The Dialogue)
2 กำหนดขอบเขตการทำงาน (The Specification)
3 การแบ่งปัญหาออกเป็น ส่วนๆ และทำการจัดการทีละส่วน (Breakdown)
4 กำหนดวิธีการ (Defining Abstraction)
5 เขียนโปรแกรม (Coding)
6 การทดสอบและตรวจสอบความถูกต้อง (Test and Verification)
7 การนำโปรแกรมไปใช้งาน (Implementation and Maintenance)
ทำความเข้าใจปัญหา (The Dialogue)
ปัญหา คือการหาค่าเฉลี่ย ของผลสอบวิชาหนึ่ง
ค่าเฉลี่ย คือ อะไร ? จะหาค่าได้อย่างไร
วิชานั้นๆ มีนักศึกษาทั้งหมดกี่คน
ผลสอบจะนำมาจากอุปกรณ์ใด
แสดงผลลัพธ์ อย่างไร
กำหนดขอบเขตของการทำงาน (The specification)
การหาค่าเฉลี่ย
คำนวณได้สูงสุดไม่เกิน 200 คน
ตัวเลขสามารถคำนวณเป็น เลขจำนวนเต็มและเลขทศนิยม
การป้อนข้อมูล เป็นแบบเรียงลำดับทีละคน ไปเรื่อยๆ
อื่น ๆ
ทดสอบและตรวจสอบ (Test and verification
ทดสอบการทำงาน โดยใช้ชุดข้อมูลที่เตรียมไว้
ถ้าไม่ถูกต้อง กลับไปแก้ไข
ส่ง 2 คนค่ะอาจารย์ มลิวรรณ และ ทิพวรรณ
แต่ก่อนการเขียน web application ด้วยภาษา PHP มีลักษณะการทำงานแบบเป็นลำดับขั้นจากบนลงล่าง หรือที่เราเรียกว่า Structured Programming ซึ่งมีความยุ่งยากในการพัฒนา เนื่องจากหากในระบบเรามีการเขียนโปรแกรมลักษณะเดิมซ้ำๆกัน เราจะไม่สามารถนำโค๊ดเก่ามาใช้ได้ เราต้องเขียนใหม่(เขียนโค๊ดเก่าซ้ำอีกทีนึง)ตลอดเรียงเป็นลำดับต่อลงมาเรื่อยๆๆ ทำให้เป็นการเขียนโปรแกรมซ้ำซ้อน หากเป็นระบบใหญ่ๆพัฒนาเป็นทีมจะทำให้พัฒนายากมาก เพราะว่าต่างคนก็ต่างเขียนโปรแกรมของตนไปและนำมารวมกันได้ยาก
ดังนั้นจึงได้เกิดแนวคิดการเขียนโปรแกรมแบบ OOP ขึ้น ซึ่งสามารถนำโค๊ดเดิมที่เขียนใว้แล้วมาสืบทอดคุณสมบัติพัฒนาต่อได้ โดยไม่ต้องเขียนโค๊ดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ลดความซ้ำซ้อนในการเขียนโปรแกรม สามารถพัฒนาระบบร่วมกันเป็นทีมได้ง่าย
ข้อแตกต่างระหว่างการเขียนโปรแกรมแบบ Procedural และ OOP
Procedural
- จะให้ความสำคัญกับขั้นตอนกระบวนการที่ทำ หรือให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นลำดับขั้นจากบนลงล่าง
- จะมองว่าโปรแกรมทั้งหมดเป็นโครงสร้างเดียวOOP
- ให้ความสำคัญกับวัตถุ มององค์ประกอบต่างๆของโปรแกรมเป็นวัตถุ
- ไม่สนใจว่าวัตถุมีการทำงานอย่างไร สนใจแต่ผลลัพธ์ภายนอกที่ได้ เช่น ไม่สนใจว่าโทรทัศน์มีระบบการทำงานอย่างไรรู้แค่วิธีใช้คือเสียบปลั๊กกดสวิตก็พอ เปรียบเทียบกับการเขียนโปรแกรมก็คือ ไม่สนใจว่าภายใน Class ทำงานอย่างไรสนใจแค่ว่า ต้อง Input ข้อมูลอะไรเข้าไปและไ้ด้ข้อมูลอะไรออกมา เป็นต้น
- วัตถุให้ข้อมูลอะไรบ้าง มีข้อมูลอะไรที่จะ Input บ้าง (Data)
- จะกระทำอะไรกับวัตถุนี้บ้าง (Behavior)
- วัตถุสามารถติดต่อหรือปฎิสัมพันธ์กันได้
- กระจายการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดความซ้ำซ้อนในการเขียนโปรแกรม นำโค๊ดเก่ากลับมาใช้ใหม่ได้
การมองสิ่งต่างๆในเชิงวัตถุ
เช่น ในระบบการลงทะเบียนมีวัตถุอะไรบ้าง วัตถุแต่ละอย่างมีข้อมูล(data)อะไร และจะ มีพฤติกรรมอะไร(Behavior)ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุอะไรบ้าง
นักเรียน มีข้อมูล(data) = รหัสนักศึกษา,ชื่อสกุล,วันเดือนปีเกิด ฯลฯ
รายวิชา มีข้อมูล(data) = รหัสรายวิชา,ชื่อรายวิชา ฯลฯ
นักเรียน มีพฤติกรรม(Behavior) = แ้ก้ไขข้อมูล ฯลฯ
นักเรียน ลงทะเบียน(มีปฏิสัมพันธ์) กับ รายวิชา
เป็นต้น
ในตัวอย่างข้างต้นเราสามารถสร้าง Class นักเรียน ซึ่งมี Method (Behavior) แก้ไขข้อมูล,ลงทะเบียน ฯลฯ อยู่ใน Class นักเรียน
สร้าง Class รายวิชา ซึ่งมี Method (Behavior) แก้ไขรายวิชา ฯลฯ อยู่ใน Class รายวิชา
โดยที่ Class ทั้งสองคลาสสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันได้
เดี๋ยววันหลังจะมาเขียนวิธีสร้าง Class และ Method
2.อธิบายความหมายของคำว่าโปรแกรม
โปรแกรม คือ ชุดคำสั่งที่สั่งงานคอมพิวเตอร์ ซึ่งโปรแกรมที่จะใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ได้นั้นจะต้องเขียนด้วยภาษาที่คอมพิวเตอร์เข้าใจและสามารถปฎิบัติตามได้ เรียกภาษาทึ่ใช้สั่งคอมพิวเตอร์นี้ว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ ผู้เขียนโปรแกรม จะรับข้อกำหนดของโปแกรมจากนักวิเคราะห์ และดำเนินการเขียนโปรแกรมให้ตรงตามข้อกำหนดนั้นๆ
3.อธิบายความหมายของคำว่าโปรแกรมคออมพิวเตอร์
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: computer program) คือ กลุ่มชุดคำสั่งที่ใช้อธิบายชิ้นงาน หรือกลุ่มงานที่จะประมวลผลโดยคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์อาจหมายถึง ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน หรือ โปรแกรม โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่นั้นเป็นชุดคำสั่งที่ออกแบบตามอัลกอริทึม โดยปกติแล้วเขียนโดยโปรแกรมเมอร์ หรือไม่ก็สร้างโดยโปรแกรมอื่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์ชุดหนึ่ง ๆ อาจเขียนขึ้นด้วยระบบรหัส หรือที่เรียกว่า ภาษาเครื่อง ซึ่งมักเขียนได้ยากและเหมาะกับช่างเทคนิคเฉพาะทาง ภายหลังจึงได้มีการสร้างภาษาโปรแกรมที่ใกล้เคียงภาษามนุษย์มากขึ้น เช่น ภาษาแอสเซมบลี (Assembly) ภาษาซี (C) ภาษาโคบอล (COBOL) ภาษาเบสิก (BASIC) ภาษา C# ภาษาจาวา เป็นต้น ผู้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์อาจเขียนโปรแกรมไว้ใช้ส่วนตัว หรือเพื่อให้ผู้อื่นใช้ต่อ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมประยุกต์หรือไลบรารี เช่น โปรแกรมสำหรับวาดภาพ (graphics) โปรแกรมประมวลผลคำ (word processing) โปรแกรมตารางจัดการ (spread sheet) โปรแกรมระบบ (systems software) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยมักติดตั้งมาจากโรงงานที่ผลิต และโปรแกรมระบบปฏิบัติการ (operating system) ที่จะทำหน้าที่เหมือนผู้จัดการคอยดูแลให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานให้ประสานกัน ในการเขียนโปรแกรม ผู้เขียนจะต้องเข้าใจขั้นตอนวิธี (อัลกอริทึม) และภาษาที่จะใช้เป็นอย่างดี จึงจะสามารถเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมเครื่องให้ทำงานได้ตามความต้องการ
4.อธิบายลักษณะสำคัญของคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์จัดเป็นองค์ประกอบสำคัญหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศ
คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"
คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้
5.อธิบายการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์
1 ทำความเข้าใจปัญหา หรือโจทย์ (The Dialogue)
2 กำหนดขอบเขตการทำงาน (The Specification)
3 การแบ่งปัญหาออกเป็น ส่วนๆ และทำการจัดการทีละส่วน (Breakdown)
4 กำหนดวิธีการ (Defining Abstraction)
5 เขียนโปรแกรม (Coding)
6 การทดสอบและตรวจสอบความถูกต้อง (Test and Verification)
7 การนำโปรแกรมไปใช้งาน (Implementation and Maintenance)
ทำความเข้าใจปัญหา (The Dialogue)
ปัญหา คือการหาค่าเฉลี่ย ของผลสอบวิชาหนึ่ง
ค่าเฉลี่ย คือ อะไร ? จะหาค่าได้อย่างไร
วิชานั้นๆ มีนักศึกษาทั้งหมดกี่คน
ผลสอบจะนำมาจากอุปกรณ์ใด
แสดงผลลัพธ์ อย่างไร
กำหนดขอบเขตของการทำงาน (The specification)
การหาค่าเฉลี่ย
คำนวณได้สูงสุดไม่เกิน 200 คน
ตัวเลขสามารถคำนวณเป็น เลขจำนวนเต็มและเลขทศนิยม
การป้อนข้อมูล เป็นแบบเรียงลำดับทีละคน ไปเรื่อยๆ
อื่น ๆ
ทดสอบและตรวจสอบ (Test and verification
ทดสอบการทำงาน โดยใช้ชุดข้อมูลที่เตรียมไว้
ถ้าไม่ถูกต้อง กลับไปแก้ไข
ส่ง 2 คนค่ะอาจารย์ มลิวรรณ และ ทิพวรรณ
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
แบบทดสอบ
1. จงบอกประเภทต่างๆ ของคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 4ประเภท
ตอบ 1.ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer)
2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer
3.มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer
4.ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer)
2. จงบอกชื่อระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันอย่างน้อย 3 ชื่อ
ตอบ 1. CP/M 2.MP/M 3.TRS-DOS 4.ProDOS 5.DOS
3. จงบอกประเภทของซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์อย่างน้อย 2 ประเภท
ตอบ ซอฟต์แวร์แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ
• ซอฟต์แวร์ระบบ ใช้ในการให้คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ทำงานกับระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยรวมถึงระบบปฏิบัติการ ไดรเวอร์ และระบบหลักของคอมพิวเตอร์ต่างๆ
• โปรแกรมประยุกต์ หรือซอฟต์แวร์ประยุกต์ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถดำเนินงานต่างๆ โดยทั่วไปเช่นโปรแกรมสำนักงาน ฐานข้อมูล คอมพิวเตอร์เกม เว็บเบราว์เซอร์ โดยโปรแกรมประยุกต์จะมีจียูไอ
• โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยเครื่องมือช่วยให้โปรแกรมเมอร์เขียนโปรแกรมอื่นๆ หรือโปรแกรมประยุกต์ได้ เครื่องมือต่างๆประกอบไปด้วย คอมไพเลอร์ อินเตอร์พรีเตอร์ ดีบักเกอร์
4. จงบอกองค์ประกอบที่สำคัญในระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 2 อย่าง
ตอบ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ซอฟต์แวร์ (Software) บุคลากร (Peopleware) ข้อมูลและสารสนเทศ (Data / Information) กระบวนการทำงาน (Procedure)
5.จงบอกส่วนประกอบที่สำคัญในเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 5 อย่าง
ตอบ 1.อุปกรณ์รับข้อมูล 2.อุปกรณ์แสดงผล 3.อุปกรณ์ส่วนประมวลผล 4.สื่อบันทึกข้อมูล
5. อุปกรณ์พ่วงอื่นๆ
6. จงยกตัวอย่างฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์อย่างน้อย 10 อย่าง
ตอบ 1.ซีพียู 2.เมาส์ 3.คีย์บอร์ด 4.สแกนเนอร์ 5.เครื่องพิมพ์ 6.ลำโพง 7.แผงเมนบอร์ดฮาร์ดดิสก์ 8.ดิสก์ไดร์ฟ 9. ซีดีรอม 10.ดีวีดีรอม
7. จงยกตัวอย่างแอพพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ของคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 10 ตัวอย่าง
ตอบ 1. โปรแกรมด้านข้อมูล 2.โปรแกรมด้านงานคำนวณ 3.โปรแกรมสำหรับการนำเสนอข้อมูล4.โปรแกรมการพิมพ์งานและเอกสาร 5.โปรแกรมด้านการตกแต่งภาพ 6.โปรแกรมงานออกแบบสามมิติและภาพเคลื่อนไหว 7.โปรแกรมสำหรับงานกราฟิก 8.โปรแกรมผลิดงานมัลติมิเดีย 9.โปรแกรมดูหนังฟังเพลง 10.โปรแกรมเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต
8. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่ ประมวลผลภาพ
ตอบ การ์ดแสดงผล (Display Card)
9. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่ ประมวลผลเสียง
ตอบ การ์ดเสียง
10. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่เสมือนสมองของคอมพิวเตอร์
ตอบ ซีพียู
11. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่หน่วยเป็นความจำหลัก
ตอบ แรม
12. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่เป็นหน่วยความจำรองอย่างน้อย 3 ชื่อ
ตอบ 1. ฮาร์ดดิสก์ 2. แผ่นบัน 3. ซีดีรอม 4. ดีวีดี 5. หน่วยความจำแบบแฟลช
13. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่เป็นส่วนรับข้อมูลเข้าอย่างน้อย 5 ชื่อ
ตอบ -แป้นพิมพ์ (Keyboard)
-เมาส์ (Mouse)
-ไมโครโฟน (Microphone)
-แสกนเนอร์ (Scanner)
-กล้องดิจิตอล
14. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่เป็นหน่วยแสดงผลข้อมูลของคอมพิวเตอร์
อย่างน้อย 3 ชื่อ
ตอบ 1. หน่วยแสดงผลชั่วคราว ที่แสดงให้ผู้ใช้ได้รับทราบในขณะนั้น แต่เมื่อเลิกทำงานหรือเลิกใช้แล้วผลนั้นก็จะหายไปคะ เเช่น
จอภาพ (Monitor) อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector) อุปกรณ์เสียง (Audio Output เช่น ลำโพง)
2. หน่วยแสดงผลถาวร (Hard Copy) ที่สามารถจับต้อง และเคลื่อนย้ายได้ตามต้องการ มักจะออกมาในรูปของกระดาษ ซึ่ง
ผู้ใช้สามารถนำไปใช้ในที่ต่าง ๆ ได้คะ เช่น เครื่องพิมพ์ (printer) เครื่องพลอตเตอร์ (plotter)
15. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่ ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์บนเมนบอร์ดให้ทำงานอย่างสัมพันธ์กัน
ตอบ ชุดชิพเซ็ต
16. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่เป็นตัวจ่ายกำลังงานไฟฟ้าให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
ตอบ ฮาร์ดิสค์ พัดลมระบายความร้อน ซีดีรอมหรือดีวีดีรอม อีกส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้คือจอภาพโมนิเตอร์ของคอมพิวเตอร์ทั้งแบบซีอาร์ที และแบบ แอลซีดี ในส่วนที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากในคอมพิวเตอร์ได้แก่ส่วนที่เป็นวงจรซีพียู ผลจากการทำงานก่อให้เกิดความร้อนสูงจำเป็นต้องมีแผงระบายความร้อนและพัดลมระบายความร้อน ส่วนที่ตัวที่เป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆของคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในตัวถังคอมพิวเตอร์ทั้งหมดนั้นเรียกอีกอย่างว่าเพาเวอร์ซัปพลาย โดยตัวเพาเวอร์ซัปพลายเองก็ต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงานและใช้ไฟฟ้าให้กับพัดลมระบายความร้อน และมีขั้วต่อไฟให้กับซีมียู ให้กับฮาร์ดดิสค์และ ซีดีรอม
17. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่สามารถบรรจุหรือจำข้อมูลได้มากที่สุด มีราคาต่ำที่สุดที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ซึ่งคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะขาดไม่ได้
ตอบ การ์ดความจำ
18. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่สำรองไฟฟ้า ป้องกันกระแสไฟมีปัญหา
ตอบ UPS เป็นคำย่อมาจากคำว่า Uninterruptible Power Supply หรือ "เครื่องสำรองไฟฟ้าและปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ" ถ้าแปลตรงตัว หมายถึง แหล่งจ่ายพลังงานต่อเนื่อง
19. จงยกตัวอย่างเครื่องพิมพ์ประเภทต่างๆ อย่างน้อย 4 ตัวอย่าง
ตอบ 1. เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ (Dot Matrix Printer)
2. เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink-Jet Printer)
3. เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer)
4. พล็อตเตอร์ (plotter)
20. จงอธิบายลักษณะพิเศษของโปรแกรมสเปรดชีต ที่แตกต่างจากโปรแกรมอื่นๆ
ตอบ โปรแกรมสเปรดชีต (Spreadsheets) โปรแกรมประเภทนี้จะถูกนำมาใช้กับงานที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณตัวเลขในลักษณะต่าง ๆ เช่น คำนวณตัวเลขทางบัญชี เป็นต้น ความสามารถในการคำนวณจะอยู่ที่ผู้ใช้กำหนดสูตรให้โปรแกรมคำนวณตามสูตรที่กำหนด เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลนำเข้า ผลลัพธ์จะถูกปรับปรุงให้สอดคล้องกับข้อมูลนำเข้าโดยอ้างอิงจากสูตรที่ใช้ตัวอย่างโปรแกรมประเภทนี้คือ โปรแกรมไมโครซอฟต์เอกซ์เซล
ตอบ 1.ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer)
2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer
3.มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer
4.ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer)
2. จงบอกชื่อระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันอย่างน้อย 3 ชื่อ
ตอบ 1. CP/M 2.MP/M 3.TRS-DOS 4.ProDOS 5.DOS
3. จงบอกประเภทของซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์อย่างน้อย 2 ประเภท
ตอบ ซอฟต์แวร์แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ
• ซอฟต์แวร์ระบบ ใช้ในการให้คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ทำงานกับระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยรวมถึงระบบปฏิบัติการ ไดรเวอร์ และระบบหลักของคอมพิวเตอร์ต่างๆ
• โปรแกรมประยุกต์ หรือซอฟต์แวร์ประยุกต์ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถดำเนินงานต่างๆ โดยทั่วไปเช่นโปรแกรมสำนักงาน ฐานข้อมูล คอมพิวเตอร์เกม เว็บเบราว์เซอร์ โดยโปรแกรมประยุกต์จะมีจียูไอ
• โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยเครื่องมือช่วยให้โปรแกรมเมอร์เขียนโปรแกรมอื่นๆ หรือโปรแกรมประยุกต์ได้ เครื่องมือต่างๆประกอบไปด้วย คอมไพเลอร์ อินเตอร์พรีเตอร์ ดีบักเกอร์
4. จงบอกองค์ประกอบที่สำคัญในระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 2 อย่าง
ตอบ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ซอฟต์แวร์ (Software) บุคลากร (Peopleware) ข้อมูลและสารสนเทศ (Data / Information) กระบวนการทำงาน (Procedure)
5.จงบอกส่วนประกอบที่สำคัญในเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 5 อย่าง
ตอบ 1.อุปกรณ์รับข้อมูล 2.อุปกรณ์แสดงผล 3.อุปกรณ์ส่วนประมวลผล 4.สื่อบันทึกข้อมูล
5. อุปกรณ์พ่วงอื่นๆ
6. จงยกตัวอย่างฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์อย่างน้อย 10 อย่าง
ตอบ 1.ซีพียู 2.เมาส์ 3.คีย์บอร์ด 4.สแกนเนอร์ 5.เครื่องพิมพ์ 6.ลำโพง 7.แผงเมนบอร์ดฮาร์ดดิสก์ 8.ดิสก์ไดร์ฟ 9. ซีดีรอม 10.ดีวีดีรอม
7. จงยกตัวอย่างแอพพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ของคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 10 ตัวอย่าง
ตอบ 1. โปรแกรมด้านข้อมูล 2.โปรแกรมด้านงานคำนวณ 3.โปรแกรมสำหรับการนำเสนอข้อมูล4.โปรแกรมการพิมพ์งานและเอกสาร 5.โปรแกรมด้านการตกแต่งภาพ 6.โปรแกรมงานออกแบบสามมิติและภาพเคลื่อนไหว 7.โปรแกรมสำหรับงานกราฟิก 8.โปรแกรมผลิดงานมัลติมิเดีย 9.โปรแกรมดูหนังฟังเพลง 10.โปรแกรมเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต
8. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่ ประมวลผลภาพ
ตอบ การ์ดแสดงผล (Display Card)
9. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่ ประมวลผลเสียง
ตอบ การ์ดเสียง
10. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่เสมือนสมองของคอมพิวเตอร์
ตอบ ซีพียู
11. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่หน่วยเป็นความจำหลัก
ตอบ แรม
12. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่เป็นหน่วยความจำรองอย่างน้อย 3 ชื่อ
ตอบ 1. ฮาร์ดดิสก์ 2. แผ่นบัน 3. ซีดีรอม 4. ดีวีดี 5. หน่วยความจำแบบแฟลช
13. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่เป็นส่วนรับข้อมูลเข้าอย่างน้อย 5 ชื่อ
ตอบ -แป้นพิมพ์ (Keyboard)
-เมาส์ (Mouse)
-ไมโครโฟน (Microphone)
-แสกนเนอร์ (Scanner)
-กล้องดิจิตอล
14. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่เป็นหน่วยแสดงผลข้อมูลของคอมพิวเตอร์
อย่างน้อย 3 ชื่อ
ตอบ 1. หน่วยแสดงผลชั่วคราว ที่แสดงให้ผู้ใช้ได้รับทราบในขณะนั้น แต่เมื่อเลิกทำงานหรือเลิกใช้แล้วผลนั้นก็จะหายไปคะ เเช่น
จอภาพ (Monitor) อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector) อุปกรณ์เสียง (Audio Output เช่น ลำโพง)
2. หน่วยแสดงผลถาวร (Hard Copy) ที่สามารถจับต้อง และเคลื่อนย้ายได้ตามต้องการ มักจะออกมาในรูปของกระดาษ ซึ่ง
ผู้ใช้สามารถนำไปใช้ในที่ต่าง ๆ ได้คะ เช่น เครื่องพิมพ์ (printer) เครื่องพลอตเตอร์ (plotter)
15. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่ ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์บนเมนบอร์ดให้ทำงานอย่างสัมพันธ์กัน
ตอบ ชุดชิพเซ็ต
16. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่เป็นตัวจ่ายกำลังงานไฟฟ้าให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
ตอบ ฮาร์ดิสค์ พัดลมระบายความร้อน ซีดีรอมหรือดีวีดีรอม อีกส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้คือจอภาพโมนิเตอร์ของคอมพิวเตอร์ทั้งแบบซีอาร์ที และแบบ แอลซีดี ในส่วนที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากในคอมพิวเตอร์ได้แก่ส่วนที่เป็นวงจรซีพียู ผลจากการทำงานก่อให้เกิดความร้อนสูงจำเป็นต้องมีแผงระบายความร้อนและพัดลมระบายความร้อน ส่วนที่ตัวที่เป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆของคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในตัวถังคอมพิวเตอร์ทั้งหมดนั้นเรียกอีกอย่างว่าเพาเวอร์ซัปพลาย โดยตัวเพาเวอร์ซัปพลายเองก็ต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงานและใช้ไฟฟ้าให้กับพัดลมระบายความร้อน และมีขั้วต่อไฟให้กับซีมียู ให้กับฮาร์ดดิสค์และ ซีดีรอม
17. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่สามารถบรรจุหรือจำข้อมูลได้มากที่สุด มีราคาต่ำที่สุดที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ซึ่งคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะขาดไม่ได้
ตอบ การ์ดความจำ
18. จงบอกชื่อของชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่สำรองไฟฟ้า ป้องกันกระแสไฟมีปัญหา
ตอบ UPS เป็นคำย่อมาจากคำว่า Uninterruptible Power Supply หรือ "เครื่องสำรองไฟฟ้าและปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ" ถ้าแปลตรงตัว หมายถึง แหล่งจ่ายพลังงานต่อเนื่อง
19. จงยกตัวอย่างเครื่องพิมพ์ประเภทต่างๆ อย่างน้อย 4 ตัวอย่าง
ตอบ 1. เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ (Dot Matrix Printer)
2. เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink-Jet Printer)
3. เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer)
4. พล็อตเตอร์ (plotter)
20. จงอธิบายลักษณะพิเศษของโปรแกรมสเปรดชีต ที่แตกต่างจากโปรแกรมอื่นๆ
ตอบ โปรแกรมสเปรดชีต (Spreadsheets) โปรแกรมประเภทนี้จะถูกนำมาใช้กับงานที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณตัวเลขในลักษณะต่าง ๆ เช่น คำนวณตัวเลขทางบัญชี เป็นต้น ความสามารถในการคำนวณจะอยู่ที่ผู้ใช้กำหนดสูตรให้โปรแกรมคำนวณตามสูตรที่กำหนด เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลนำเข้า ผลลัพธ์จะถูกปรับปรุงให้สอดคล้องกับข้อมูลนำเข้าโดยอ้างอิงจากสูตรที่ใช้ตัวอย่างโปรแกรมประเภทนี้คือ โปรแกรมไมโครซอฟต์เอกซ์เซล
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
แบบทดสอบ CD-DVD-R/RW
1. 40Xตอบ 24/10/40X คือความเร็วในการบันทึกแผ่น CD-R สูงสุด ความเร็วในการบันทึกข้อมูลลงแผ่น CD-RW และความเร็วในการอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีโปรแกรม หรือซีดี เพลง
2. เช่น 52x32x52x หมายถึง ความเร็วในการเขียนสูงสุด 52x สำหรับ CDR ความเร็วในการ
เขียนสูงสุด 32x สำหรับ ... เช็คแผ่น CDR ที่คุณนำมาใช้ในการบันทึกข้อมูลว่าเป็นแผ่นแบบ 8x ... และ ประเภทของแผ่นที่สามารถนำมาใช้ได้ด้วยความเร็วสูงสุดเท่าไหร่
3. การสร้างสิ่งที่เลียนแบบของจริงขึ้นมา เช่น virtual memory ก็จัดว่าเป็น virtualization แบบหนึ่ง (เอาฮาร์ดดิสก์มาทำเป็นหน่วยความจำ) หรือแม้กระทั่งการที่คุณแบ่งฮาร์ดดิสก์ตัวหนึ่งออกเป็นพาร์ติชันก็อาจจัดว่าเป็นการทำ virtualization เช่นกัน (มีฮาร์ดดิสก์ตัวเดียว แต่ทำเหมือนกับว่ามีหลายตัว) โปรแกรมอย่าง VMWARE ก็จัดว่าเป็น virtualization ประเภทหนึ่ง (เป็น Operating System Virtualization) จริง ๆ แล้ว virtualization นั้นสามารถแบ่งได้ป็นหลายประเภท เช่น network virtualization, storage virtualization และ server virtualization เป็นต้น
4. ความเร็วในการเขียนแผ่นดีวีดีนั้นได้ทลายขีดจำกัดเดิมๆ ไปหมดสิ้นแล้วด้วยความเร็วที่สูงถึง 20X สำหรับแผ่น
DVD±R ด้วยความเร็วสูงพร้อมเทคโนโลยีอย่าง SecurDisc™ ที่ช่วยป้องกันข้อมูลของคุณด้วย เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากLG และ Nero เหนือกว่าด้วยระบบป้องกันข้อมูล 4 รูปแบบ
- Password Protection สามารถกำหนดรหัสผ่านให้กับแผ่น CD และ DVD ได้
- Digital Signature ใส่ลายเซ็นดิจิตอลเพื่อยืนยันว่าข้อมูลมาจากผู้ส่งตัวจริง
- Data Integrity Check ระบบตรวจสอบการเสื่อมสภาพของแผ่น เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายจากแผ่นที่หมดอายุการใช้งาน
- Data Reliability ระบบสำรองข้อมูลในแผ่นเพื่อการกู้ข้อมูลในกรณีแผ่นเกิดการขูดขีด
นอกจากนี้ H55L ยังมีความเร็วในการเขียน DVD± R ที่ความเร็ว 20x แล้วยังสามารถเขียนแผ่น DVD±R DL ได้ที่ความเร็วสูงถึง 10x และแผ่น DVD-RAM ที่ความเร็ว 10x และสามารถเขียนแผ่น CD-R 48x และ CD-RW ที่ความเร็วสูงถึง 32x และยังใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อแบบ E-IDE ที่มีให้ความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลสูงถึง 33MB/s ซึ่งรองรับการทำงานร่วมกับโหมด UDMA-33 ตัวไดร์ฟมาพร้อมกับหน่วยความจำหรือ Buffer ที่ให้มากถึง 2 MB ทำงานผสานกับ เทคโนโลยี้ Buffer UnderRun ได้เป็นอย่างดี ซึ่งลดโอกาสที่จะทำให้การเขียนแผ่นเสียหายจากการที่ข้อมูลไม่สามารถส่งให้ได้ทัน และที่ขาดไม่ได้ก็คือเรื่องของการทำ LightScribe ที่กลายเป็นจุดเด่นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับมาอย่างช้านาน และได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มั่นใจได้ว่า GSA-H55L นั้นจะเป็นไดร์ฟที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างที่ต้องการ
Write Speed :
DVD+/- R = 20x
DVD+/- RW = 8x,6x
DVD+/- R DL = 10x
DVD-RAM = 12x
CD-R = 48x
CD-RW = 32x
Read Speed :
DVD-ROM(SL) = 16x
DVD-ROM(DL) = 12x
DVD-Video(CSS) = 8x
DVD-R/-RW/-R DL= 16x/12x/12x
DVD-+R/+RW/+RDL = 16x/12x/12x
DVD-RAM = 5x/12x
CD-R/RW/ROM = 48x /40x/48x
CD-DA = 40x
Disc Format : N/A
Interface : E-IDE
Access Time : N/A
Feature : SecureDisc
OS Support: MS-Windows 98 / NT4.0 / ME / 2000 / XP
5. ตอบ สำหรับ การติดตั้ง CDROM นั่น เราก็เลือกช่องว่างๆ เหมาะๆ ซักช่องนึง แกะฝาที่ปิดออก โดยการดันแรงๆ จากด้านใน ให้ฝาหลุดออกมาด้านหน้า แล้วจึงนำ CDROM ใส่เข้าไป ดังภาพด้านล่าง จากนั่นยึดสกรูให้แน่นๆ นำสายไฟหัวใหญ่ เสียบเข้าไป เพื่อเป็นพลังงานของ CDROM
จากนั่นนำสาย Cable หรือสายแพ มาเสียบเพื่อใช้ในการส่งข้อมูลเข้าออกระหว่าง CDROM และคอมพิวเตอร์ โดยด้าน หนึ่งจะเสียบที่ด้านหลังของ CDROM โดยสายแพนั่น ถ้าสังเกตุดีดี จะมีแถบสีแดงอยู่ด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ หมายถึง สายที่ต่อเข้ากับ ขาที่ 1 สังเกตดูจากรูปจะเห็นแถบสีแดงที่สาย Cable
จากรูปด้านบนจะเห็นการเสียบของสาย Cable หรือเรียกว่าสายแพ ด้านหนึ่ง เข้ากับ CDROM โดยเน้นเลยนะครับว่า ให้แถบสีแดงเสียบเข้ากับขาที่หนึ่ง โดยมีเทคนิคการสังเกตุ เล็กน้อยคือ แถบสีแดงจะหันเข้าไกล้สายไฟ สาย Power เสมอ ดูภาพด้านบนสิครับ แถบแดงอยู่ไกล้ๆ กันกับ สายไฟ
นำปลายอีกด้านหนึ่งต่อเข้ากับ Seconary IDE บนบอร์ด ถ้าไม่รู้ว่าอยู่ตำแหน่งใหนก็ดูได้จากคู่มือของ Mainboard เพราะว่าจะต้องมีบอกอยู่แล้วอย่างแน่นอน สังเกตุดีดี ส่วนใหญ่จะเขียนใว้บน Mainboard เสมอ โดยหันด้านแถบแดง เสียบลงบนขาที่ 1 เสมอ โดยจะเขียนเอาใว้ในคู่มือ หรือบน Board ว่า ด้านไหนเป็นขาที่ 1 6. คอมพิวเตอร์ระบุคุณลักษณะว่า Support : DVD+/-R , DVD+/- RW , DVD+/-R DL DVD RAM , DVD Video , CD-R , CD-RW มีความหมายว่าอย่างไร อธิบาย7. การเชื่อมต่อสัญญาณของ CD-DVD ROM มีกี่แบบ อะไรบ้าง
6. ค่าย DVDForum ส่งเข้าประกวด ได้แก่ DVD-R, DVD-RW, DVD-R DL, DVD-RAM, DVD-ROM
ค่าย DVD+RW Alliance ส่งเข้าประกวด ได้แก่ DVD+R, DVD+RW, DVD+R DL
ในด้านความจุนั้น
DVD-R และ DVD-RW เป็นแบบชั้นเดียว มีความจุ 4,706,074,624 bytes หรือเท่ากับ 4488MB
DVD+R และ DVD+RW ก็เป็นแบบชั้นเดียว มีความจุ 4,700,372,992 bytes หรือเท่ากับ 4482MB
DVD+R DL เป็นแบบสองชั้น (DL==Dual Layer) มีความจุ 8,547,993,600 bytes หรือเท่ากับ 8152MB
DVD-R DL เป็นแบบสองชั้น ขณะนี้ยังอยู่ในห้องแล็ปคาดว่าภายในปีนี้จะเริ่มออกวางตลาด แต่ราคาคงแพงหูฉี่ ความจุก็คงประมาณ DVD+R DL
DVD-ROM เป็นได้ทั้งชั้นเดียวหรือสองชั้น ความจุประมาณ DVD-R หรือ DVD+R DL
DVD-RAM มี 2 แบบคือแบบเก่าและแบบใหม่ ทั้งสองแบบมีทั้งแบบด้านเดียว (Single Side) และแบบสองด้าน (Double Side)
เวลาใช้งานแบบสองด้านผู้ใช้จะต้องทำการกลับข้างแผ่นเอง ทุกด้านจะเป็นแบบชั้นเดียว (Single Layer) โดยมีความจุดังนี้
2,6xx,xxx,xxx bytes เป็นแบบเก่า ชั้นเดียว ด้านเดียว
5,2xx,xxx,xxx bytes เป็นแบบเก่า ชั้นเดียว สองด้าน
4,7xx,xxx,xxx bytes เป็นแบบใหม่ ชั้นเดียว ด้านเดียว
9,4xx,xxx,xxx bytes เป็นแบบใหม่ ชั้นเดียว สองด้าน
ในด้านความเร็วในการเขียนของเครื่องเขียนนั้น ความเร็วสูงสุดของเครื่องเขียนที่เขียนแผ่นแบบต่างๆได้ขณะนี้อยู่ที่
16x สำหรับ DVD-R และ DVD+R โดยเครื่องเขียนดีวีดีที่เขียนได้ทั้งสองแบบส่วนใหญ่จะเขียน DVD+R ได้เร็วกว่า DVD-R เช่น 16x DVD+R 12x DVD-R หรือ 12x DVD+R 8x DVD-R
8x สำหรับ DVD+RW
6x สำหรับ DVD-RW, DVD-R DL, DVD+R DL
5x สำหรับ DVD-RAM
โดย 1x ของดีวีดี = 9x ของซีดี = 9*150kB/s = 1350kB/s
ในด้านราคาและความเร็วของแผ่นนั้น
ที่ความเร็วการเขียนเท่ากัน และที่คุณภาพของแผ่นเท่ากัน DVD-R จะถูกกว่า DVD+R นิดหน่อย
ที่คุณภาพของแผ่นเท่ากัน DVD-R และ DVD+R ที่ 16x ยังหายาก 12x ยังแพงอยู่ 8x ถูกลงมา 4x ก็ถูกสุด
แผ่น DVD-R หรือ DVD+R บางแผ่นที่บอกว่ารับรองการเขียนได้ที่ 4x แต่จริงๆอาจเขียนได้ถึง 6x หรือ 8x นั้น จะต้องระวังเรื่องคุณภาพการเขียนและการอ่านกลับ ไม่ควรเก็บข้อมูลสำคัญไว้กับแผ่นที่เขียนมาด้วยความเร็วสูงกว่าที่ระบุไว้ ที่แผ่น
แผ่น DVD+R DL ตอนนี้มีแค่ 2.4x และ 4x ราคายังแพงมากในขณะนี้ ถ้าบ้านไม่รวยก็ยังไม่คุ้มที่จะซื้อใช้
แผ่น DVD-R DL ยังไม่มีวางขาย
แผ่น DVD-RW หรือ DVD+RW ตอนนี้มีไม่เกิน 4x ราคาแพงกว่า DVD-R หรือ DVD+R แต่ถูกกว่า DVD+R DL
แผ่น DVD-RAM ตอนนี้มีไม่เกิน 5x ราคาแพงกว่า DVD-RW หรือ DVD+RW แต่ถูกกว่า DVD+R DL
ในด้านความเข้ากันได้กับเครื่องอ่าน (เขียนแล้วเอาไปอ่านกับเครื่องอื่นได้หรือไม่ได้มากน้อยแค่ไหน)
แผ่น DVD-ROM มีความเข้ากันได้กับเครื่องอ่านมากที่สุด (ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอ่านแบบ DVD-ROM ที่ใช้ในคอมพ์ หรือเครื่องเล่นดีวีดีที่ต่อเข้าทีวี) เนื่องจากเป็นแผ่นที่ปั๊มมาจากโรงงาน โดยปั๊มจากโมล ไม่ได้ถูกเขียน(หรือถ้าจะเรียกให้ถูกคือ เบอร์น)มาด้วยแสงเลเซอร์จากเครื่องเขียนดีวีดี
ความเข้ากันได้รองลงมาจาก DVD-ROM ของแผ่นแบบอื่นเรียงตามลำดับคือ DVD-R (93%), DVD+R (89%), DVD-RW (80%), DVD+RW (79%), DVD+R DL (??), DVD-RAM (??)
ในด้านความสามารถในการเขียน
แผ่น DVD-R, DVD+R, DVD-R DL, DVD+R DL เขียนแล้วลบไม่ได้ เขียนทับไม่ได้
แผ่น DVD-RW, DVD+RW เขียนแล้วลบได้ เขียนทับได้
แผ่น DVD-R สามารถเขียนแบบทีละนิด ไปเรื่อยๆจนเต็ม (ที่เรียกว่าการเขียนแบบ multi-session) ได้เช่นเดียวกับ DVD+R หลายคนเข้าใจผิดว่า DVD-R เขียน multi-session ไม่ได้ จริงๆแล้วเขียนได้ เพียงแต่เครื่องอ่านหลายเครื่องที่อ่าน DVD-R ได้ อาจจะอ่าน DVD-R แบบ multi-session ไม่ได้ บางรุ่นอาจต้องอัปเกรด firmware ก่อนจึงจะอ่านได้ นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อก็คือตัว OS เช่น Windows บางเวอร์ชั่นก็อ่าน DVD-R แบบ multi-session ไม่ได้ ไม่แน่ใจว่ามีรุ่นไหนบ้าง แต่ Windows XP นั้นอ่านได้ นอกจากนี้การเขียน multi-session ของ DVD-R นั้นจะใช้แก็ปมากกว่า DVD+R เช่นถ้าทดลองเขียนข้อมูลขนาด 10MB ทีละนิดเขียนไป 100 ครั้งด้วยข้อมูลเดียวกัน ทดลองทั้งแผ่น DVD-R และ DVD+R แล้วลองดูว่าใช้พื้นที่ไปแล้วเท่าไรและหลืออีกเท่าไร จะพบว่าแผ่น DVD+R จะเหลือที่ว่างเพื่อเขียนเพิ่มมากกว่าแผ่น DVD-R (ต่างกันแค่ไหนนั้นจำไม่ได้ แต่มากพอสมควร)
ต่างกันแค่ไหนระหว่าง multi-session ในแบบของ DVD-R กับ DVD+R นั้น ก็ต่างกันมากทีเดียว โดย DVD-R นั้นจะต้องเสียพื้นที่ถึง 32-96 MB ระหว่างสอง session แรก และ 6-18 MB ระหว่างสอง session ต่อๆ ไป ดังนั้นสมมติว่าตอนนี้เรามีอยู่แล้ว 10 session ก็แสดงว่าอาจต้องเสียพื้นที่ไปแล้วมากถึง 258 MB (มากกว่า 5% ของพื้นที่ทั้งหมดบนแผ่น) ส่วน DVD+R นั้น จะเสียพื้นที่ระหว่าง session เพียง 2 MB เท่านั้นไม่ว่าจะเป็นระหว่าง session ไหน ดังนั้นถ้าเราเขียนไปแล้ว 10 session ก็แสดงว่าเราเสียพื้นที่ไปแค่ 18 MB เท่านั้น ที่เป็น 18 MB ไม่ใช่ 20 MB ก็เพราะว่า session ที่ 10 นั้นไม่ต้องเสียพื้นที่ 2 MB เพื่อปิดท้ายเหมือนของ DVD-R
DVD+R, DVD+RW, DVD+R DL มีความสามารถที่ไม่มีในคู่แข่ง (แบบ -) คือ ความสามารถที่เรียกว่า bitsetting ซึ่งเป็นการเปลี่ยน book type ของแผ่นให้กลายเป็น DVD-ROM ทำให้ความเข้ากันได้ของ DVD+R, DVD+RW, DVD+R DL เพิ่มขึ้นไปใกล้เคียง หรือมากกว่า คู่แข่งแบบ - เพราะเครื่องอ่านโดนหลอกว่าแผ่นนี้เป็นแผ่น DVD-ROM (แผ่นปั๊ม) ไม่ใช่แผ่น DVD+R หรือ DVD+RW หรือ DVD+R DL บางคนบอกว่าตอนนี้ DVD+R ที่เปลี่ยน book type เป็น DVD-ROM มีความเข้ากันได้เทียบเท่าแผ่น DVD-ROM จริงๆเลยทีเดียว ซึ่งความสามารถนี้ทำให้แผ่น DVD+R/RW/R DL ล้ำหน้า DVD-R/RW เพราะ DVD-R/RW นั้นไม่สามารถเปลี่ยน book type ได้ อนึ่ง bitsetting นี้ตัวเครื่องเขียนจะต้องสนับสนุนด้วย เครื่องเขียนบางเครื่องทำ bitsetting ได้เฉพาะแผ่น DVD+R หรือบางเครื่องทำได้เฉพาะ DVD+R DL บางเครื่องทำได้ครบทั้ง DVD+R, DVD+RW, DVD+R DL บางเครื่องเปลี่ยนให้โดยอัตโนมัติ บางเครื่องต้องเข้าไปเซ็ตก่อน ต้องดูเป็นเครื่องๆไป ทั้งนี้อาจขึ้นกับ firmware ด้วย เครื่องเดียวกันตอนนี้อาจทำไม่ได้แต่อัปเกรด firmware แล้วอาจทำได้
แผ่น DVD-RAM มีความสามารถในการเขียนที่น่าอัศจรรย์ที่หลายคนไม่รู้ คือ การเขียนข้อมูลแบบ random ได้เหมือนกับฮาร์ดดิสค์ ยกตัวอย่างคือ เปิดไฟล์ขึ้นมาตรงๆจากแผ่น DVD-RAM แล้วแก้ไฟล์ แล้วก็เซฟไฟล์ไปตรงนั้นเดี๋ยวนั้นได้เลยเหมือนกับทำบนฮาร์ดดิสค์ ไม่มีแผ่นแบบไหนทำแบบนี้ได้ และไม่ค่อยมีเครื่องเขียนเครื่องไหนเขียน DVD-RAM ได้ และที่สำคัญ (ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ DVD-RAM ไม่ค่อยแพร่หลาย) คือไม่ค่อยมีเครื่องอ่านเครื่องไหนที่อ่านแผ่น DVD-RAM ได้ เครื่องเขียนที่เขียนและอ่านแผ่น DVD-RAM ได้คือเครื่องเขียนหลายรุ่นจากค่าย LG และค่าย Panasonic แผ่น DVD-RAM เป็นที่นิยมกันในญี่ปุ่น โดยจะใช้อัดหนังด้วยเครื่อง DVD Recorder (คือเครื่องอัดที่ใช้อัดหนังจากทีวีแบบเดียวกับเครื่อง Video VHS เพียงแต่อัดลงแผ่น DVD) แล้วเอามาแก้ไขตัดต่อบนคอมพ์ โดยใช้เครื่องเขียนดีวีดีที่อ่านเขียน DVD-RAM ได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องย้ายข้อมูลทั้งหมดจากแผ่น DVD-RAM ลงฮาร์ดดิสค์ก่อน เป็นการประหยัดเวลาได้มาก เครื่อง DVD Recorder ที่อัดลง DVD-RAM ได้ก็เครื่องจากค่าย Panasonic หลายรุ่น ดังนั้นใครมี LG ก็อาจลองเล่นความสามารถนี้ของ DVD-RAM ดูได้ ไม่ต้องถึงขนาดซื้อ DVD Recorder มาลอง แค่ใช้เก็บข้อมูลแล้วลองแก้ไขบนแผ่นโดยตรง แล้วจะติดใจ
7. ออฟติคอลไดรฟ์ (Optical Drive) อุปกรณ์ประเภท I/O (Input/Output Device) ส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีหน้าที่ในการนำข้อมูลเข้าและออกจากระบบ ผ่านกระบวนการทำงานของแสงเลเซอร์ ปัจจุบันสื่อและอุปกรณ์ที่เป็นออฟติคอลไดรฟทั้งหลายมีการแตกแขนงออกไปเรื่อยๆโดยเฉพาะดีวีดี จนอาจทำให้บางท่านสับสนต่อการใช้งานก็เป็นได้ โดยการแตกแขนงออกไปนั้นเป็นในเรื่องของเทคโนโลยีของไดรฟ์แต่ละตัวรวมถึงกระบวนการทำงานของแสงเลเซอร์ที่กำลังจะพลัดใบไปสู่สำแสงสีฟ้า (Blu-Ray
CD-ROM
อุปกรณ์อ่านข้อมูลชนิดซีดี ที่ถูกบรรจุให้อยู่คู่คอมพิวเตอร์มาอย่างนมนาน จวบจนปัจจุบันพัฒนาการทางด้านความเร็วของอุปกรณ์ประเภทนี้ทะยานเข้าสู่เลขหลัก 60X แต่กลับกลายเป็นว่าปัจจุบันพิมพ์นิยมคือความเร็ว 52X ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหาซื้อได้ง่าย
CD ReWriter
อุปกรณ์เพื่อการอ่านและเขียนแผ่นประเภทซีดี ซึ่งเป็นการพัฒนาให้ไดรฟ์ประเภทซีดีสามารถเขียนข้อมูลบนแผ่นซีดีได้ ปัจจุบันความเร็ว 52X 32X 52X คือความเร็วสูงสุด และทำตลาดได้ดีที่สุดของไดรฟ์ประเภทนี้ ซึ่งคงไม่มีการพัฒนาความเร็วไปมากกว่านี้ เพราะการพัฒนานั้นจะไปเน้นดีวีดีซะมากกว่า สำหรับตัวเลข 3 ตัวที่ได้เอ่ยไป
Combo Drive
อุปกรณ์ที่รวมการทำงานของไดรฟ์ CD ReWriter (อ่าน/เขียน) และ DVD-ROM(อ่านอย่างเดียว) เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งจุดสังเกตความเป็น Combo Drive จะมีสัญลักษณ์ CD-RW และ DVD-ROM คู่กัน
8. ตอบ เปรียบเทียบความจุของแผ่นดีวีดีกับสื่อแบบเดิม
ความจุที่มหาศาลเป็นจุดเด่นของดีวีดีที่เหนือกว่าสื่อแบบเดิม ซึ่งดีวีดี 1 แผ่นจะมีความจุเท่ากับ ซีดี 7 แผ่น และ เท่ากับฟล๊อปปี้ดิสก์ 3,357 แผ่น เคล็ดลับที่ทำให้ดีวีดีจุได้มากกว่านั้นมีดังนี้
ประการแรก คือโครงสร้างของการจัดเก็บข้อมูลภายในของดีวีดีที่มีขนาดเล็กกว่าจึงจุได้อัดแน่นมากกว่า
ประการ
ที่ 2 คือ การใช้แสงเลเซอร์อ่านข้อมูลที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่านั่นคือ
ดีวีดีใช้แสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นแค่ 635-650
นาโนเมตรขณะที่ซีดีรอมจะใช้เลเซอร์ที่มีความยาวกว่าในระดับ 750 นาโนเมตร
ประการที่ 3 ดีวีดีสามารถเก็บได้มากกว่าซีดี 1 ชั้น (Layer) ถ้าเป็นซีดีรอมจะเก็บข้อมูลได้ชั้นเดียว แต่ดีวีดีสามารถเก็บได้ 2 ชั้น
เปรียบเทียบคุณลักษณะของซีดีกับดีวีดี
คุณลักษณะ ดีวีดี ซีดี
เส้นผ่าศูนย์กลาง 120mm 120 mm
ความหนา 0.6 mm 1.2 mm
ระยะห่างระหว่างแทรค 0.74 nanometers 1.6 nanometers
ความยาวของหลุม 0.40 nanometers 0.834 nanometers
ความยาวคลื่นของเลเซอร์ 640 nm 780 nm
ความจุของข้อมูล 4.7 GB 0.68 GB
จำนวนชั้น (Layer) 1,2,4 1
เปรียบเทียบ DVD กับ CD
คุณสมบัติ DVD/ CD
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 120 มิลลิเมตร 120 มิลลิเมตร
ความหนารวม 1.2 มิลลิเมตร 1.0 มิลลิเมตร
ความหนา 0.6 mm. ต่อด้าน มีเพียงด้านเดียว
ความยาวของเลเซอร์ 650-635 นาโนเมตร 780 นาโนเมตร ( infrared)
ความกว้างของแทรค 0.74 ไมครอน 1.6 ไมครอน
ความยาวของ pit และ land 0.4 ไมครอน 0.83 ไมครอน
จำนวนชั้นที่บันทึกข้อมูลได้ 1 หรือ 2 1
ความจุต่อหน้า Single Layer 4.7 GB
Double Layer 8.5 GB 680 MB โดยประมาณ
คุณสมบัติ DVD/ CD
อัตราการส่งผ่านข้อมูลต่อวินาที Max. total of combined audio and video = 9.8
Mbps Max. sum of Elementary streams+system overhead = 11.08 Mbps(1xDVD) 1.44 Mbps (video,audio)
(1xCD speed)
รูปแบบการบีบอัดของภาพวิดีโด MPEG-2 MPEG-1
Sound Tracks Mandatory (NTSC):2 chanel
Dolby Digital(AC-3) Optional: up to 8 streams of data available 2 Chanael-MPEG
สนับสนุนตัวอักษรบรรยาย มากถึง 32 ภาษาและเลือกภาษาได้ ได้เพียงคำบรรยายภาษาเดียว
การแก้ไขข้อผิดพลาด Reed Solomon Product Code
ส่งผ่านเฟรมต่อวินาที 25 Hz frames per sec
Aspect ratio 4:3, 16:9
ระบบเสียง Dolby AC-3 sampling rate 48 Khz
หน่วยความจำสนับสนุนวิดีโอ 1.85 Mb (MPEG-2) 328 Kb (MPEG-1)
9. ตอบ แผ่นดิสก์แบบอ่อน หรือ ฟลอปปีดิสก์ (floppy disk) หรือที่นิยมเรียกว่าแผ่นดิสก์หรือ ดิสเกตต์ (diskette) เป็น
อุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่อาศัยหลักการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็ก
โดยทั่วมีลักษณะบางกลมและบรรจุอยู่ในแผ่นพลาสติกสี่เหลี่ยม
คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและเขียนข้อมูลลงบนฟลอปปีดิสก์
ผ่านทางฟลอปปีดิสก์ไดร์ฟ
แผ่นดิสก์ยุคแรก มีขนาด 8 นิ้ว สร้างขึ้นปี ค.ศ. 1971 เพื่อใช้กับเครื่อง System/370 ของบริษัทไอบีเอ็ม(IBM) สร้างโย เดวิด โนเบิล ในทีมงานของ อะลัน ซูการ์ต ซึ่งต่อมาซูการ์ตแยกตัวออกไปตั้งบริษัททำวิจัยเกี่ยวกับหน่วยความจำ ชื่อ บริษัทซูการ์ต ในปี ค.ศ. 1973 แต่เพียงหนึ่งปีต่อมา บริษัทก็ขาดทุนและซูการ์ตก็ถูกไล่ออกจากบริษัทตัวเอง
นักวิจัยของบริษัทซูการ์ต ชื่อ จิม แอดคิสสัน ได้รับการติดต่อจากAn Wang ดู พื่อให้ลดขนาดแผ่นดิสก์ให้เล็กลง การติดต่อเกิดขึ้นที่บาร์ในบอสตัน และขนาดแผ่นดิสก์ใหม่ที่คุยกันคือขนาดเท่ากระดาษเช็ดมือในร้าน ซึ่งมีขนาด 51/4 นิ้ว ต่อมาไม่นาน บริษัทซูการ์ต ก็ผลิตแผ่นดิสก์ขนาดนี้ได้และได้รับความนิยม ในตอนแรกแผ่นมีความจุ 110KB ต่อมาบริษัทTandon พัฒนาให้ความจุสูงขึ้น โดยใช้วิธีเก็บข้อมูลสองหน้า (double density) ทำให้สามารถเก็บได้ 360 KB
แผ่น ดิสก์เป็นที่นิยมในท้องตลาดอย่างสูง ทำให้หลายๆบริษัททุ่มทุนวิจัยทางด้านนี้ ในปี ค.ศ. 1984 บริษัทแอปเปิล ผลิตเครื่องที่ใช้แผ่นดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วของบริษัทโวนี่ และผลักดันให้แผ่น 3.5 นิ้ว เป็นมาตรฐานในวงการอุตสาหกรรมของอเมริกา ความจุเริ่มแรกของแผ่นดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว คือ 360KB สำหรับหน้าเดียว (single density) และ720 KB สำหรับสองหน้า และต่อมาก็สามารถเพิ่มความจุเป็น1.44 MB โดยการเพิ่มความจุต่อหน้า (high-density) ต่อมา ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็พบวิธีทำให้มีความจุเป็น 2.88 MB(extended-density) โดยการเปลี่ยนแปลงวิธีการเคลือบแผ่น แต่รุ่นสุดท้ายนี้ไม่ได้รับความนิยม เพราะเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในขณะนั้น ต้องการความจุที่สูงกว่านี้ แผ่นดิสก์จึงถูกแทนที่ด้วยหน่วยจัดเก็บข้อมูลแบอื่นไป เช่น ซีดีรอม และดีวีดีรอม
นางสาวมลิวรรณ บุญชัยโย เลขที่ 18 ชั้น สบค 1/3
นางสาวพัชราวดี พลชัยมาตย์ เลขที่ 38 ชั้น
2. เช่น 52x32x52x หมายถึง ความเร็วในการเขียนสูงสุด 52x สำหรับ CDR ความเร็วในการ
เขียนสูงสุด 32x สำหรับ ... เช็คแผ่น CDR ที่คุณนำมาใช้ในการบันทึกข้อมูลว่าเป็นแผ่นแบบ 8x ... และ ประเภทของแผ่นที่สามารถนำมาใช้ได้ด้วยความเร็วสูงสุดเท่าไหร่
3. การสร้างสิ่งที่เลียนแบบของจริงขึ้นมา เช่น virtual memory ก็จัดว่าเป็น virtualization แบบหนึ่ง (เอาฮาร์ดดิสก์มาทำเป็นหน่วยความจำ) หรือแม้กระทั่งการที่คุณแบ่งฮาร์ดดิสก์ตัวหนึ่งออกเป็นพาร์ติชันก็อาจจัดว่าเป็นการทำ virtualization เช่นกัน (มีฮาร์ดดิสก์ตัวเดียว แต่ทำเหมือนกับว่ามีหลายตัว) โปรแกรมอย่าง VMWARE ก็จัดว่าเป็น virtualization ประเภทหนึ่ง (เป็น Operating System Virtualization) จริง ๆ แล้ว virtualization นั้นสามารถแบ่งได้ป็นหลายประเภท เช่น network virtualization, storage virtualization และ server virtualization เป็นต้น
4. ความเร็วในการเขียนแผ่นดีวีดีนั้นได้ทลายขีดจำกัดเดิมๆ ไปหมดสิ้นแล้วด้วยความเร็วที่สูงถึง 20X สำหรับแผ่น
DVD±R ด้วยความเร็วสูงพร้อมเทคโนโลยีอย่าง SecurDisc™ ที่ช่วยป้องกันข้อมูลของคุณด้วย เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากLG และ Nero เหนือกว่าด้วยระบบป้องกันข้อมูล 4 รูปแบบ
- Password Protection สามารถกำหนดรหัสผ่านให้กับแผ่น CD และ DVD ได้
- Digital Signature ใส่ลายเซ็นดิจิตอลเพื่อยืนยันว่าข้อมูลมาจากผู้ส่งตัวจริง
- Data Integrity Check ระบบตรวจสอบการเสื่อมสภาพของแผ่น เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายจากแผ่นที่หมดอายุการใช้งาน
- Data Reliability ระบบสำรองข้อมูลในแผ่นเพื่อการกู้ข้อมูลในกรณีแผ่นเกิดการขูดขีด
นอกจากนี้ H55L ยังมีความเร็วในการเขียน DVD± R ที่ความเร็ว 20x แล้วยังสามารถเขียนแผ่น DVD±R DL ได้ที่ความเร็วสูงถึง 10x และแผ่น DVD-RAM ที่ความเร็ว 10x และสามารถเขียนแผ่น CD-R 48x และ CD-RW ที่ความเร็วสูงถึง 32x และยังใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อแบบ E-IDE ที่มีให้ความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลสูงถึง 33MB/s ซึ่งรองรับการทำงานร่วมกับโหมด UDMA-33 ตัวไดร์ฟมาพร้อมกับหน่วยความจำหรือ Buffer ที่ให้มากถึง 2 MB ทำงานผสานกับ เทคโนโลยี้ Buffer UnderRun ได้เป็นอย่างดี ซึ่งลดโอกาสที่จะทำให้การเขียนแผ่นเสียหายจากการที่ข้อมูลไม่สามารถส่งให้ได้ทัน และที่ขาดไม่ได้ก็คือเรื่องของการทำ LightScribe ที่กลายเป็นจุดเด่นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับมาอย่างช้านาน และได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มั่นใจได้ว่า GSA-H55L นั้นจะเป็นไดร์ฟที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างที่ต้องการ
Write Speed :
DVD+/- R = 20x
DVD+/- RW = 8x,6x
DVD+/- R DL = 10x
DVD-RAM = 12x
CD-R = 48x
CD-RW = 32x
Read Speed :
DVD-ROM(SL) = 16x
DVD-ROM(DL) = 12x
DVD-Video(CSS) = 8x
DVD-R/-RW/-R DL= 16x/12x/12x
DVD-+R/+RW/+RDL = 16x/12x/12x
DVD-RAM = 5x/12x
CD-R/RW/ROM = 48x /40x/48x
CD-DA = 40x
Disc Format : N/A
Interface : E-IDE
Access Time : N/A
Feature : SecureDisc
OS Support: MS-Windows 98 / NT4.0 / ME / 2000 / XP
5. ตอบ สำหรับ การติดตั้ง CDROM นั่น เราก็เลือกช่องว่างๆ เหมาะๆ ซักช่องนึง แกะฝาที่ปิดออก โดยการดันแรงๆ จากด้านใน ให้ฝาหลุดออกมาด้านหน้า แล้วจึงนำ CDROM ใส่เข้าไป ดังภาพด้านล่าง จากนั่นยึดสกรูให้แน่นๆ นำสายไฟหัวใหญ่ เสียบเข้าไป เพื่อเป็นพลังงานของ CDROM
จากนั่นนำสาย Cable หรือสายแพ มาเสียบเพื่อใช้ในการส่งข้อมูลเข้าออกระหว่าง CDROM และคอมพิวเตอร์ โดยด้าน หนึ่งจะเสียบที่ด้านหลังของ CDROM โดยสายแพนั่น ถ้าสังเกตุดีดี จะมีแถบสีแดงอยู่ด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ หมายถึง สายที่ต่อเข้ากับ ขาที่ 1 สังเกตดูจากรูปจะเห็นแถบสีแดงที่สาย Cable
จากรูปด้านบนจะเห็นการเสียบของสาย Cable หรือเรียกว่าสายแพ ด้านหนึ่ง เข้ากับ CDROM โดยเน้นเลยนะครับว่า ให้แถบสีแดงเสียบเข้ากับขาที่หนึ่ง โดยมีเทคนิคการสังเกตุ เล็กน้อยคือ แถบสีแดงจะหันเข้าไกล้สายไฟ สาย Power เสมอ ดูภาพด้านบนสิครับ แถบแดงอยู่ไกล้ๆ กันกับ สายไฟ
นำปลายอีกด้านหนึ่งต่อเข้ากับ Seconary IDE บนบอร์ด ถ้าไม่รู้ว่าอยู่ตำแหน่งใหนก็ดูได้จากคู่มือของ Mainboard เพราะว่าจะต้องมีบอกอยู่แล้วอย่างแน่นอน สังเกตุดีดี ส่วนใหญ่จะเขียนใว้บน Mainboard เสมอ โดยหันด้านแถบแดง เสียบลงบนขาที่ 1 เสมอ โดยจะเขียนเอาใว้ในคู่มือ หรือบน Board ว่า ด้านไหนเป็นขาที่ 1 6. คอมพิวเตอร์ระบุคุณลักษณะว่า Support : DVD+/-R , DVD+/- RW , DVD+/-R DL DVD RAM , DVD Video , CD-R , CD-RW มีความหมายว่าอย่างไร อธิบาย7. การเชื่อมต่อสัญญาณของ CD-DVD ROM มีกี่แบบ อะไรบ้าง
6. ค่าย DVDForum ส่งเข้าประกวด ได้แก่ DVD-R, DVD-RW, DVD-R DL, DVD-RAM, DVD-ROM
ค่าย DVD+RW Alliance ส่งเข้าประกวด ได้แก่ DVD+R, DVD+RW, DVD+R DL
ในด้านความจุนั้น
DVD-R และ DVD-RW เป็นแบบชั้นเดียว มีความจุ 4,706,074,624 bytes หรือเท่ากับ 4488MB
DVD+R และ DVD+RW ก็เป็นแบบชั้นเดียว มีความจุ 4,700,372,992 bytes หรือเท่ากับ 4482MB
DVD+R DL เป็นแบบสองชั้น (DL==Dual Layer) มีความจุ 8,547,993,600 bytes หรือเท่ากับ 8152MB
DVD-R DL เป็นแบบสองชั้น ขณะนี้ยังอยู่ในห้องแล็ปคาดว่าภายในปีนี้จะเริ่มออกวางตลาด แต่ราคาคงแพงหูฉี่ ความจุก็คงประมาณ DVD+R DL
DVD-ROM เป็นได้ทั้งชั้นเดียวหรือสองชั้น ความจุประมาณ DVD-R หรือ DVD+R DL
DVD-RAM มี 2 แบบคือแบบเก่าและแบบใหม่ ทั้งสองแบบมีทั้งแบบด้านเดียว (Single Side) และแบบสองด้าน (Double Side)
เวลาใช้งานแบบสองด้านผู้ใช้จะต้องทำการกลับข้างแผ่นเอง ทุกด้านจะเป็นแบบชั้นเดียว (Single Layer) โดยมีความจุดังนี้
2,6xx,xxx,xxx bytes เป็นแบบเก่า ชั้นเดียว ด้านเดียว
5,2xx,xxx,xxx bytes เป็นแบบเก่า ชั้นเดียว สองด้าน
4,7xx,xxx,xxx bytes เป็นแบบใหม่ ชั้นเดียว ด้านเดียว
9,4xx,xxx,xxx bytes เป็นแบบใหม่ ชั้นเดียว สองด้าน
ในด้านความเร็วในการเขียนของเครื่องเขียนนั้น ความเร็วสูงสุดของเครื่องเขียนที่เขียนแผ่นแบบต่างๆได้ขณะนี้อยู่ที่
16x สำหรับ DVD-R และ DVD+R โดยเครื่องเขียนดีวีดีที่เขียนได้ทั้งสองแบบส่วนใหญ่จะเขียน DVD+R ได้เร็วกว่า DVD-R เช่น 16x DVD+R 12x DVD-R หรือ 12x DVD+R 8x DVD-R
8x สำหรับ DVD+RW
6x สำหรับ DVD-RW, DVD-R DL, DVD+R DL
5x สำหรับ DVD-RAM
โดย 1x ของดีวีดี = 9x ของซีดี = 9*150kB/s = 1350kB/s
ในด้านราคาและความเร็วของแผ่นนั้น
ที่ความเร็วการเขียนเท่ากัน และที่คุณภาพของแผ่นเท่ากัน DVD-R จะถูกกว่า DVD+R นิดหน่อย
ที่คุณภาพของแผ่นเท่ากัน DVD-R และ DVD+R ที่ 16x ยังหายาก 12x ยังแพงอยู่ 8x ถูกลงมา 4x ก็ถูกสุด
แผ่น DVD-R หรือ DVD+R บางแผ่นที่บอกว่ารับรองการเขียนได้ที่ 4x แต่จริงๆอาจเขียนได้ถึง 6x หรือ 8x นั้น จะต้องระวังเรื่องคุณภาพการเขียนและการอ่านกลับ ไม่ควรเก็บข้อมูลสำคัญไว้กับแผ่นที่เขียนมาด้วยความเร็วสูงกว่าที่ระบุไว้ ที่แผ่น
แผ่น DVD+R DL ตอนนี้มีแค่ 2.4x และ 4x ราคายังแพงมากในขณะนี้ ถ้าบ้านไม่รวยก็ยังไม่คุ้มที่จะซื้อใช้
แผ่น DVD-R DL ยังไม่มีวางขาย
แผ่น DVD-RW หรือ DVD+RW ตอนนี้มีไม่เกิน 4x ราคาแพงกว่า DVD-R หรือ DVD+R แต่ถูกกว่า DVD+R DL
แผ่น DVD-RAM ตอนนี้มีไม่เกิน 5x ราคาแพงกว่า DVD-RW หรือ DVD+RW แต่ถูกกว่า DVD+R DL
ในด้านความเข้ากันได้กับเครื่องอ่าน (เขียนแล้วเอาไปอ่านกับเครื่องอื่นได้หรือไม่ได้มากน้อยแค่ไหน)
แผ่น DVD-ROM มีความเข้ากันได้กับเครื่องอ่านมากที่สุด (ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอ่านแบบ DVD-ROM ที่ใช้ในคอมพ์ หรือเครื่องเล่นดีวีดีที่ต่อเข้าทีวี) เนื่องจากเป็นแผ่นที่ปั๊มมาจากโรงงาน โดยปั๊มจากโมล ไม่ได้ถูกเขียน(หรือถ้าจะเรียกให้ถูกคือ เบอร์น)มาด้วยแสงเลเซอร์จากเครื่องเขียนดีวีดี
ความเข้ากันได้รองลงมาจาก DVD-ROM ของแผ่นแบบอื่นเรียงตามลำดับคือ DVD-R (93%), DVD+R (89%), DVD-RW (80%), DVD+RW (79%), DVD+R DL (??), DVD-RAM (??)
ในด้านความสามารถในการเขียน
แผ่น DVD-R, DVD+R, DVD-R DL, DVD+R DL เขียนแล้วลบไม่ได้ เขียนทับไม่ได้
แผ่น DVD-RW, DVD+RW เขียนแล้วลบได้ เขียนทับได้
แผ่น DVD-R สามารถเขียนแบบทีละนิด ไปเรื่อยๆจนเต็ม (ที่เรียกว่าการเขียนแบบ multi-session) ได้เช่นเดียวกับ DVD+R หลายคนเข้าใจผิดว่า DVD-R เขียน multi-session ไม่ได้ จริงๆแล้วเขียนได้ เพียงแต่เครื่องอ่านหลายเครื่องที่อ่าน DVD-R ได้ อาจจะอ่าน DVD-R แบบ multi-session ไม่ได้ บางรุ่นอาจต้องอัปเกรด firmware ก่อนจึงจะอ่านได้ นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อก็คือตัว OS เช่น Windows บางเวอร์ชั่นก็อ่าน DVD-R แบบ multi-session ไม่ได้ ไม่แน่ใจว่ามีรุ่นไหนบ้าง แต่ Windows XP นั้นอ่านได้ นอกจากนี้การเขียน multi-session ของ DVD-R นั้นจะใช้แก็ปมากกว่า DVD+R เช่นถ้าทดลองเขียนข้อมูลขนาด 10MB ทีละนิดเขียนไป 100 ครั้งด้วยข้อมูลเดียวกัน ทดลองทั้งแผ่น DVD-R และ DVD+R แล้วลองดูว่าใช้พื้นที่ไปแล้วเท่าไรและหลืออีกเท่าไร จะพบว่าแผ่น DVD+R จะเหลือที่ว่างเพื่อเขียนเพิ่มมากกว่าแผ่น DVD-R (ต่างกันแค่ไหนนั้นจำไม่ได้ แต่มากพอสมควร)
ต่างกันแค่ไหนระหว่าง multi-session ในแบบของ DVD-R กับ DVD+R นั้น ก็ต่างกันมากทีเดียว โดย DVD-R นั้นจะต้องเสียพื้นที่ถึง 32-96 MB ระหว่างสอง session แรก และ 6-18 MB ระหว่างสอง session ต่อๆ ไป ดังนั้นสมมติว่าตอนนี้เรามีอยู่แล้ว 10 session ก็แสดงว่าอาจต้องเสียพื้นที่ไปแล้วมากถึง 258 MB (มากกว่า 5% ของพื้นที่ทั้งหมดบนแผ่น) ส่วน DVD+R นั้น จะเสียพื้นที่ระหว่าง session เพียง 2 MB เท่านั้นไม่ว่าจะเป็นระหว่าง session ไหน ดังนั้นถ้าเราเขียนไปแล้ว 10 session ก็แสดงว่าเราเสียพื้นที่ไปแค่ 18 MB เท่านั้น ที่เป็น 18 MB ไม่ใช่ 20 MB ก็เพราะว่า session ที่ 10 นั้นไม่ต้องเสียพื้นที่ 2 MB เพื่อปิดท้ายเหมือนของ DVD-R
DVD+R, DVD+RW, DVD+R DL มีความสามารถที่ไม่มีในคู่แข่ง (แบบ -) คือ ความสามารถที่เรียกว่า bitsetting ซึ่งเป็นการเปลี่ยน book type ของแผ่นให้กลายเป็น DVD-ROM ทำให้ความเข้ากันได้ของ DVD+R, DVD+RW, DVD+R DL เพิ่มขึ้นไปใกล้เคียง หรือมากกว่า คู่แข่งแบบ - เพราะเครื่องอ่านโดนหลอกว่าแผ่นนี้เป็นแผ่น DVD-ROM (แผ่นปั๊ม) ไม่ใช่แผ่น DVD+R หรือ DVD+RW หรือ DVD+R DL บางคนบอกว่าตอนนี้ DVD+R ที่เปลี่ยน book type เป็น DVD-ROM มีความเข้ากันได้เทียบเท่าแผ่น DVD-ROM จริงๆเลยทีเดียว ซึ่งความสามารถนี้ทำให้แผ่น DVD+R/RW/R DL ล้ำหน้า DVD-R/RW เพราะ DVD-R/RW นั้นไม่สามารถเปลี่ยน book type ได้ อนึ่ง bitsetting นี้ตัวเครื่องเขียนจะต้องสนับสนุนด้วย เครื่องเขียนบางเครื่องทำ bitsetting ได้เฉพาะแผ่น DVD+R หรือบางเครื่องทำได้เฉพาะ DVD+R DL บางเครื่องทำได้ครบทั้ง DVD+R, DVD+RW, DVD+R DL บางเครื่องเปลี่ยนให้โดยอัตโนมัติ บางเครื่องต้องเข้าไปเซ็ตก่อน ต้องดูเป็นเครื่องๆไป ทั้งนี้อาจขึ้นกับ firmware ด้วย เครื่องเดียวกันตอนนี้อาจทำไม่ได้แต่อัปเกรด firmware แล้วอาจทำได้
แผ่น DVD-RAM มีความสามารถในการเขียนที่น่าอัศจรรย์ที่หลายคนไม่รู้ คือ การเขียนข้อมูลแบบ random ได้เหมือนกับฮาร์ดดิสค์ ยกตัวอย่างคือ เปิดไฟล์ขึ้นมาตรงๆจากแผ่น DVD-RAM แล้วแก้ไฟล์ แล้วก็เซฟไฟล์ไปตรงนั้นเดี๋ยวนั้นได้เลยเหมือนกับทำบนฮาร์ดดิสค์ ไม่มีแผ่นแบบไหนทำแบบนี้ได้ และไม่ค่อยมีเครื่องเขียนเครื่องไหนเขียน DVD-RAM ได้ และที่สำคัญ (ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ DVD-RAM ไม่ค่อยแพร่หลาย) คือไม่ค่อยมีเครื่องอ่านเครื่องไหนที่อ่านแผ่น DVD-RAM ได้ เครื่องเขียนที่เขียนและอ่านแผ่น DVD-RAM ได้คือเครื่องเขียนหลายรุ่นจากค่าย LG และค่าย Panasonic แผ่น DVD-RAM เป็นที่นิยมกันในญี่ปุ่น โดยจะใช้อัดหนังด้วยเครื่อง DVD Recorder (คือเครื่องอัดที่ใช้อัดหนังจากทีวีแบบเดียวกับเครื่อง Video VHS เพียงแต่อัดลงแผ่น DVD) แล้วเอามาแก้ไขตัดต่อบนคอมพ์ โดยใช้เครื่องเขียนดีวีดีที่อ่านเขียน DVD-RAM ได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องย้ายข้อมูลทั้งหมดจากแผ่น DVD-RAM ลงฮาร์ดดิสค์ก่อน เป็นการประหยัดเวลาได้มาก เครื่อง DVD Recorder ที่อัดลง DVD-RAM ได้ก็เครื่องจากค่าย Panasonic หลายรุ่น ดังนั้นใครมี LG ก็อาจลองเล่นความสามารถนี้ของ DVD-RAM ดูได้ ไม่ต้องถึงขนาดซื้อ DVD Recorder มาลอง แค่ใช้เก็บข้อมูลแล้วลองแก้ไขบนแผ่นโดยตรง แล้วจะติดใจ
7. ออฟติคอลไดรฟ์ (Optical Drive) อุปกรณ์ประเภท I/O (Input/Output Device) ส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีหน้าที่ในการนำข้อมูลเข้าและออกจากระบบ ผ่านกระบวนการทำงานของแสงเลเซอร์ ปัจจุบันสื่อและอุปกรณ์ที่เป็นออฟติคอลไดรฟทั้งหลายมีการแตกแขนงออกไปเรื่อยๆโดยเฉพาะดีวีดี จนอาจทำให้บางท่านสับสนต่อการใช้งานก็เป็นได้ โดยการแตกแขนงออกไปนั้นเป็นในเรื่องของเทคโนโลยีของไดรฟ์แต่ละตัวรวมถึงกระบวนการทำงานของแสงเลเซอร์ที่กำลังจะพลัดใบไปสู่สำแสงสีฟ้า (Blu-Ray
CD-ROM
อุปกรณ์อ่านข้อมูลชนิดซีดี ที่ถูกบรรจุให้อยู่คู่คอมพิวเตอร์มาอย่างนมนาน จวบจนปัจจุบันพัฒนาการทางด้านความเร็วของอุปกรณ์ประเภทนี้ทะยานเข้าสู่เลขหลัก 60X แต่กลับกลายเป็นว่าปัจจุบันพิมพ์นิยมคือความเร็ว 52X ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหาซื้อได้ง่าย
CD ReWriter
อุปกรณ์เพื่อการอ่านและเขียนแผ่นประเภทซีดี ซึ่งเป็นการพัฒนาให้ไดรฟ์ประเภทซีดีสามารถเขียนข้อมูลบนแผ่นซีดีได้ ปัจจุบันความเร็ว 52X 32X 52X คือความเร็วสูงสุด และทำตลาดได้ดีที่สุดของไดรฟ์ประเภทนี้ ซึ่งคงไม่มีการพัฒนาความเร็วไปมากกว่านี้ เพราะการพัฒนานั้นจะไปเน้นดีวีดีซะมากกว่า สำหรับตัวเลข 3 ตัวที่ได้เอ่ยไป
Combo Drive
อุปกรณ์ที่รวมการทำงานของไดรฟ์ CD ReWriter (อ่าน/เขียน) และ DVD-ROM(อ่านอย่างเดียว) เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งจุดสังเกตความเป็น Combo Drive จะมีสัญลักษณ์ CD-RW และ DVD-ROM คู่กัน
8. ตอบ เปรียบเทียบความจุของแผ่นดีวีดีกับสื่อแบบเดิม
ความจุที่มหาศาลเป็นจุดเด่นของดีวีดีที่เหนือกว่าสื่อแบบเดิม ซึ่งดีวีดี 1 แผ่นจะมีความจุเท่ากับ ซีดี 7 แผ่น และ เท่ากับฟล๊อปปี้ดิสก์ 3,357 แผ่น เคล็ดลับที่ทำให้ดีวีดีจุได้มากกว่านั้นมีดังนี้
ประการแรก คือโครงสร้างของการจัดเก็บข้อมูลภายในของดีวีดีที่มีขนาดเล็กกว่าจึงจุได้อัดแน่นมากกว่า
ประการ
ที่ 2 คือ การใช้แสงเลเซอร์อ่านข้อมูลที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่านั่นคือ
ดีวีดีใช้แสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นแค่ 635-650
นาโนเมตรขณะที่ซีดีรอมจะใช้เลเซอร์ที่มีความยาวกว่าในระดับ 750 นาโนเมตร
ประการที่ 3 ดีวีดีสามารถเก็บได้มากกว่าซีดี 1 ชั้น (Layer) ถ้าเป็นซีดีรอมจะเก็บข้อมูลได้ชั้นเดียว แต่ดีวีดีสามารถเก็บได้ 2 ชั้น
เปรียบเทียบคุณลักษณะของซีดีกับดีวีดี
คุณลักษณะ ดีวีดี ซีดี
เส้นผ่าศูนย์กลาง 120mm 120 mm
ความหนา 0.6 mm 1.2 mm
ระยะห่างระหว่างแทรค 0.74 nanometers 1.6 nanometers
ความยาวของหลุม 0.40 nanometers 0.834 nanometers
ความยาวคลื่นของเลเซอร์ 640 nm 780 nm
ความจุของข้อมูล 4.7 GB 0.68 GB
จำนวนชั้น (Layer) 1,2,4 1
เปรียบเทียบ DVD กับ CD
คุณสมบัติ DVD/ CD
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 120 มิลลิเมตร 120 มิลลิเมตร
ความหนารวม 1.2 มิลลิเมตร 1.0 มิลลิเมตร
ความหนา 0.6 mm. ต่อด้าน มีเพียงด้านเดียว
ความยาวของเลเซอร์ 650-635 นาโนเมตร 780 นาโนเมตร ( infrared)
ความกว้างของแทรค 0.74 ไมครอน 1.6 ไมครอน
ความยาวของ pit และ land 0.4 ไมครอน 0.83 ไมครอน
จำนวนชั้นที่บันทึกข้อมูลได้ 1 หรือ 2 1
ความจุต่อหน้า Single Layer 4.7 GB
Double Layer 8.5 GB 680 MB โดยประมาณ
คุณสมบัติ DVD/ CD
อัตราการส่งผ่านข้อมูลต่อวินาที Max. total of combined audio and video = 9.8
Mbps Max. sum of Elementary streams+system overhead = 11.08 Mbps(1xDVD) 1.44 Mbps (video,audio)
(1xCD speed)
รูปแบบการบีบอัดของภาพวิดีโด MPEG-2 MPEG-1
Sound Tracks Mandatory (NTSC):2 chanel
Dolby Digital(AC-3) Optional: up to 8 streams of data available 2 Chanael-MPEG
สนับสนุนตัวอักษรบรรยาย มากถึง 32 ภาษาและเลือกภาษาได้ ได้เพียงคำบรรยายภาษาเดียว
การแก้ไขข้อผิดพลาด Reed Solomon Product Code
ส่งผ่านเฟรมต่อวินาที 25 Hz frames per sec
Aspect ratio 4:3, 16:9
ระบบเสียง Dolby AC-3 sampling rate 48 Khz
หน่วยความจำสนับสนุนวิดีโอ 1.85 Mb (MPEG-2) 328 Kb (MPEG-1)
9. ตอบ แผ่นดิสก์แบบอ่อน หรือ ฟลอปปีดิสก์ (floppy disk) หรือที่นิยมเรียกว่าแผ่นดิสก์หรือ ดิสเกตต์ (diskette) เป็น
อุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่อาศัยหลักการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็ก
โดยทั่วมีลักษณะบางกลมและบรรจุอยู่ในแผ่นพลาสติกสี่เหลี่ยม
คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและเขียนข้อมูลลงบนฟลอปปีดิสก์
ผ่านทางฟลอปปีดิสก์ไดร์ฟ
แผ่นดิสก์ยุคแรก มีขนาด 8 นิ้ว สร้างขึ้นปี ค.ศ. 1971 เพื่อใช้กับเครื่อง System/370 ของบริษัทไอบีเอ็ม(IBM) สร้างโย เดวิด โนเบิล ในทีมงานของ อะลัน ซูการ์ต ซึ่งต่อมาซูการ์ตแยกตัวออกไปตั้งบริษัททำวิจัยเกี่ยวกับหน่วยความจำ ชื่อ บริษัทซูการ์ต ในปี ค.ศ. 1973 แต่เพียงหนึ่งปีต่อมา บริษัทก็ขาดทุนและซูการ์ตก็ถูกไล่ออกจากบริษัทตัวเอง
นักวิจัยของบริษัทซูการ์ต ชื่อ จิม แอดคิสสัน ได้รับการติดต่อจากAn Wang ดู พื่อให้ลดขนาดแผ่นดิสก์ให้เล็กลง การติดต่อเกิดขึ้นที่บาร์ในบอสตัน และขนาดแผ่นดิสก์ใหม่ที่คุยกันคือขนาดเท่ากระดาษเช็ดมือในร้าน ซึ่งมีขนาด 51/4 นิ้ว ต่อมาไม่นาน บริษัทซูการ์ต ก็ผลิตแผ่นดิสก์ขนาดนี้ได้และได้รับความนิยม ในตอนแรกแผ่นมีความจุ 110KB ต่อมาบริษัทTandon พัฒนาให้ความจุสูงขึ้น โดยใช้วิธีเก็บข้อมูลสองหน้า (double density) ทำให้สามารถเก็บได้ 360 KB
แผ่น ดิสก์เป็นที่นิยมในท้องตลาดอย่างสูง ทำให้หลายๆบริษัททุ่มทุนวิจัยทางด้านนี้ ในปี ค.ศ. 1984 บริษัทแอปเปิล ผลิตเครื่องที่ใช้แผ่นดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วของบริษัทโวนี่ และผลักดันให้แผ่น 3.5 นิ้ว เป็นมาตรฐานในวงการอุตสาหกรรมของอเมริกา ความจุเริ่มแรกของแผ่นดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว คือ 360KB สำหรับหน้าเดียว (single density) และ720 KB สำหรับสองหน้า และต่อมาก็สามารถเพิ่มความจุเป็น1.44 MB โดยการเพิ่มความจุต่อหน้า (high-density) ต่อมา ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็พบวิธีทำให้มีความจุเป็น 2.88 MB(extended-density) โดยการเปลี่ยนแปลงวิธีการเคลือบแผ่น แต่รุ่นสุดท้ายนี้ไม่ได้รับความนิยม เพราะเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในขณะนั้น ต้องการความจุที่สูงกว่านี้ แผ่นดิสก์จึงถูกแทนที่ด้วยหน่วยจัดเก็บข้อมูลแบอื่นไป เช่น ซีดีรอม และดีวีดีรอม
นางสาวมลิวรรณ บุญชัยโย เลขที่ 18 ชั้น สบค 1/3
นางสาวพัชราวดี พลชัยมาตย์ เลขที่ 38 ชั้น
วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
การติดตั้งโปรแกรมภาษาซี
วิธีการติดตั้งโปรแกรมภาษาซี
ขั้นตอนการนำโปรแกรมลงเครื่อง ใน Drive C:
1. คลิกขวา เพื่อ save file tc.zip ลงใน Drive c:
2. double click ที่ไฟล์ tc.zip ที่ drive c:
3. จะปรากฏ โปรแกรม winzip เพื่อใช้สำหรับการ unzip(ขยายขนาดของโปรแกรมที่ย่อยไว้) แล้วคลิกที่ปุ่ม Extract
4. จะปรากฏ Dialog box แล้วให้เลือก Drive เป็น Drive C: แล้วคลิกที่ปุ่ม Extract
5. โปรแกรมที่ถูกย่อไว้ ก็จะค่อย ๆ ถูกบันทึกลงใน Drive C:
6. เมื่อไฟล์ถูกบันทึกลงเครื่องเรียบร้อยแล้ว ด้านล่างของโปรแกรมจะขึ้นเป็นไฟ เขียว
ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรมเพื่อการใช้งาน
1. หลังจาก unzip เรียบร้อยแล้วจะได้โฟลเดอร์ tc ให้เลือก Dou
2.double click ที่ไฟล์ชื่อ install ble click เข้าไปใน โฟลเดอร์นั้น
3. จะปรากฏหน้าต่างสีดำ สำหรับการ install โปรแกรม
4. ให้รอจนลงโปรแกรมเสร็จ
ขั้นตอนการสร้าง Shortcut บน Desktop เพื่อให้สามารถเรียกใช้โปรแกรมได้ง่ายขึ้น
1. เข้าไปที่ Drive C: ใน โฟลเดอร์ c:\tc\bin
2. คลิกขวาพี่ไฟล์ TC เลือก Send to เลือก Desktop (Create shortcut)
3. จะได้ Shortcut ของโปรแกรม วางบน Desktop ซึ่งสามารถ Double click เพื่อใช้โปรแกรมได้เลย
ขั้นตอนการนำโปรแกรมลงเครื่อง ใน Drive C:
1. คลิกขวา เพื่อ save file tc.zip ลงใน Drive c:
2. double click ที่ไฟล์ tc.zip ที่ drive c:
3. จะปรากฏ โปรแกรม winzip เพื่อใช้สำหรับการ unzip(ขยายขนาดของโปรแกรมที่ย่อยไว้) แล้วคลิกที่ปุ่ม Extract
4. จะปรากฏ Dialog box แล้วให้เลือก Drive เป็น Drive C: แล้วคลิกที่ปุ่ม Extract
5. โปรแกรมที่ถูกย่อไว้ ก็จะค่อย ๆ ถูกบันทึกลงใน Drive C:
6. เมื่อไฟล์ถูกบันทึกลงเครื่องเรียบร้อยแล้ว ด้านล่างของโปรแกรมจะขึ้นเป็นไฟ เขียว
ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรมเพื่อการใช้งาน
1. หลังจาก unzip เรียบร้อยแล้วจะได้โฟลเดอร์ tc ให้เลือก Dou
2.double click ที่ไฟล์ชื่อ install ble click เข้าไปใน โฟลเดอร์นั้น
3. จะปรากฏหน้าต่างสีดำ สำหรับการ install โปรแกรม
4. ให้รอจนลงโปรแกรมเสร็จ
ขั้นตอนการสร้าง Shortcut บน Desktop เพื่อให้สามารถเรียกใช้โปรแกรมได้ง่ายขึ้น
1. เข้าไปที่ Drive C: ใน โฟลเดอร์ c:\tc\bin
2. คลิกขวาพี่ไฟล์ TC เลือก Send to เลือก Desktop (Create shortcut)
3. จะได้ Shortcut ของโปรแกรม วางบน Desktop ซึ่งสามารถ Double click เพื่อใช้โปรแกรมได้เลย
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552
ศัพท์คอมพิวเตอร์Memory การ์ดความจำHard Disk หน่วยความจำBluetooth เป็นเทคโนโลยีของอินเตอร์เฟซทางคลื่นวิทยุ (คือ การทำงานที่ใช้ไมโครชิพขนาด 9 มม. X 9 มม. ซึ่งทำงานเป็นตัวเชื่อมที่ใช้สัญญาณวิทยุขนาดระยะสั้ นและมีราคาถูก) ใช้ในการเชื่อมโยงสื่อสารไร้สายในแถบความถี่ 2.45GHz ทำให้อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่ถือเคลื่อนย้ายได้สามาร ถติดต่อเชื่อมโยงสื่อสารแบบไร้สายระหว่างกันในช่วงระ ยะห่างสั้น ๆ ได้Wireless คือ อุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อสัญญาณไร้สาย โดย Wireless จะสามารถแผ่ขยายการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ไกลเพียง 3-5 กม.URL ย่อมาจากคำว่า Uniform Resource Locator หมายถึงที่อยู่ (Address) ของข้อมูลต่างๆในอินเตอร์เน็ต เป็นที่อยู่ของข้อมูลในอินเตอร์เน็ต แต่ Search Engine เป็นเครื่องมือในการช่วยค้นหาที่อยู่ของข้อมูลในอินเตอร์เน็ต แบตเตอรี่ (battery) คือ อุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ใช้เก็บพลังงาน และนำมาใช้ได้ในรูปของไฟฟ้า แบตเตอรี่นั้นประกอบด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าเคมี เช่น เซลล์กัลวานิกcard reader คือ อุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อระหว่างหน่วยความจำภายนอกแบบแฟลชการ์ดหรือมีเดียการ์ด กับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยอาศัยพอร์ต USB ในการทำงานโดยจะรองรับคุณสมบัติของหน่วยความจำตามผู้ผลิตIntel เป็นชื่อบริษัทคอมพิวเตอร์ประเภทซอฟต์แวร์ ชื่อบริษัทอินเทล คอร์ปอเรชั่นที่จัดตั้งเพื่อสนับสนุนนักพัฒนาและบริษัทซอฟต์แวร์ในทุกภูมิภาคทั่วโลกaddress สังกัด ที่อยู่USB หรือ Universal Serial Bus คือ ระบบเชื่อมต่ออนุกรมความเร็วสูงของคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นช่องทางในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์CPU ย่อมาจาก Central Processing Unit คือ หน่วยประมวลผลกลาง ตามที่พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานบัญญัติศัพท์เอาไว้ หรือเีรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โปรเซสเซอร์ (Processor) หรือ ชิป (Chip) CPU มีลักษณะเป็นชิปตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ภายใน CPU จะประกอบไปด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า webcam ย่อมาจาก Web Camera คือ กล้องวีดีโอที่ถ่ายทอดภาพนิ่งหรือภาพวิดีโอผ่านระบบเครือข่าย เว็บไซต์ โปรแกรม ถือเป็นอุปกรณ์นำข้อมูล (อินพุต) ที่สามารถจับภาพเคลื่อนไหวให้ไปปรากฏในจอภาพ และสามารถส่งภาพเคลื่อนไหวหรือภาพนิ่งนี้ไปให้คนอีกฟากหนึ่งเห็นตัวเราเคลื่อนไหวได้เหมือนอยู่ต่อหน้า ปัจจุบันมีทั้งแบบที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านสายยูเอสบี และเชื่อมต่อแบบไร้สาย LAN (Local Aria Network) ซึ่งแปลได้ว่า “ระบบเครือข่ายขนาดเล็ก” ที่ต้องประกอบด้วย Server และ Client โดยจะต้องมีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น ผู้ให้บริการ และ ผู้ใช้บริการ โดยที่ ผู้ให้บริการ ซึ่งเป็น Server นั้นRAM(Random-Access Memory) เป็นหน่วยความจำของระบบ ROM (Read-Only Memory) ซึ่งหมายถึงหน่วยความจำที่ใช้อ่านได้อย่างเดียวMainboard หรือ แผงวงจรหลัก เป็นหัวใจสำคัญที่สุดที่อยู่ภายในเครื่อง เมื่อเปิดฝาเครื่องออกมาจะเป็นแผงวงจรขนาดใหญ่วางนอนอยู่Chipset นั้นเป็นส่วนประกอบที่อยู่บนเมนบอร์ด ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในระบบคอมพิวเตอร์ Chipset ก็เปรียบเสมือนระบบต่าง ๆ ในร่างกายที่คอยทำหน้าที่ประสาน ระหว่าง สมอง กับร่างกายส่วนอื่น ๆ ให้ทำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)